ด็อกเตอร์จอง ซุง คิม จากมหาวิทยาลัยแดเจียนในประเทศเกาหลี ได้ให้ข้อสรุปจากการวิจัยของเขาว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอร์แล้วหน้าแดงจะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งตับเพิ่มขึ้นสองเท่าถ้าดื่มเกิน 4 แก้วต่ออาทิตย์ ในขณะผู้ที่ไม่มีอาการหน้าแดงจะมีโอกาสเท่ากันถ้าดื่มมากกว่า 8 แก้วต่ออาทิตย์ นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการยังเป็นสัญญานบ่งบอกว่ามีความเสียงที่จะเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารอีกด้วย ทั้งนี้เพราะว่าผู้ที่หน้าแดงมีกระบวนการสร้างเอนไซน์ Acetaldehyde ที่ตับไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถกำจัดแอลกอฮอร์ในร่างกายในเลือดได้ดีเหมือนคนอื่น
และท่านอาจารย์ดอกเตอร์ฟิลิพ เจ. บรูคส์ และคณะ แห่งสถาบันการเสพติดแอลกอฮอล์และแอลกอฮอลิซึมแห่งชาติ สหรัฐฯ คนบางคนมักจะมีอาการหน้าแดง (flushing) เวลาดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) ซึ่งบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ ใจสั่น ใจเต้นแรงร่วมด้วย อาการดังกล่าวเป็นผลจากลักษณะพันธุกรรม (สืบต่อจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย) ของการขาดเอนไซม์หรือน้ำย่อยที่ใช้ในการทำลายแอลกอฮอล์ที่ชื่อ ‘ALDH2’
อาจารย์บรูคส์กล่าวว่า นักดื่มอายุน้อยบางคนใช้ยาแก้แพ้ช่วยลดอาการหน้าแดงในระหว่างการดื่ม เพื่อให้ดื่มได้มากขึ้น การทำเช่นนี้กลบเกลื่อนอาการหน้าแดงได้ชั่วคราว แต่จะทำให้เสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้นในระยะยาว…
อาจารย์ท่านแนะนำให้ตั้งคำถาม 2 ข้อกับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ได้แก่
เมืองไทยเรามีสถิติมะเร็งตับในภาคใต้สูงกว่าภาคอื่นๆ อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคตับ สำหรับชายไทยมาเป็นอันดับ 3 ของโลก และอันดับ 8 ในผู้หญิง 2.3 คนใน 10 คน เสียชีวิตด้วยโรคตับ และคนไทยที่หน้าแดงเวลาดื่มเหล้าก็มีสูงมากด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่า คนไทยที่มีพันธุกรรมบกพร่องแบบนี้น่าจะมีมากพอๆ กับชาวเอเชียตะวันออกไกล (ญี่ปุ่น จีน เกาหลี) กล่าวกันว่า ฝรั่ง (ชาวตะวันตก) มีแนวโน้มจะมีพันธุกรรมบกพร่องแบบนี้ต่ำกว่าคนเอเชีย ทำให้ฝรั่งทนต่อสารพิษชนิดนี้ได้มากกว่าคนเอเชียโดยเฉลี่ย
ผลลัพธ์อันทรงประสิทธิภาพ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพตับถึงระดับเซลล์
จากผลการศึกษาวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ในระดับสากล
Phytotherapy Research Link : Hepatoprotective properties of Dandelion: recent update